Countable and Uncountable Noun

Countable and Uncountable Noun

Countable and Uncountable Nouns

(คำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้)

คำนามในภาษาอังกฤษนั้นสามารถแบ่งออกเป็นคำนามนับได้ (countable noun) และคำนามนับไม่ได้  (uncountable noun) ซึ่งทั้งสองประเภทมีลักษณะดังนี้

Noun (คำนาม) คือ คำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ หรือสถานที่ต่าง ๆ

ทำหน้าที่ได้หลากหลายอย่าง ดังนี้

 1.ทำหน้าที่เป็นประธาน (Subject) วางไว้ที่ต้นปะโยค และอยู่หน้าคำกริยา

 2.กรรม (Object) อยู่หลังคำกริยาที่ต้องมีกรรมมารองรับเสมอ

 3.กรรมกลังบุพบท (Object of a Preposition) อยู่หลังคำบุพบท

 4.ส่วนเติมเต็ม (Complement) มักวางไว้ตามหลังคำจำพวก be , have , become

Countable Noun

Count (V.) แปลว่า นับ, able (adj.) แปลว่า สามารถ ดังนั้น countable noun จึงหมายถึงคำนามที่สามารถนับได้นั่นเอง ทั้งนี้ คำนามที่นับได้จะสามารถเติมจำนวนให้คำนามนั้น ๆ ได้ หากคำนามมีเพียงสิ่งเดียว คนเดียว เราสามารถใช้ a/ an นำหน้าคำนามได้ หรือหากมีหลายสิ่งเราสามารถใส่จำนวนหน้าคำนามนั้น ๆ พร้อมทั้งคำนามนับได้ที่มีมากกว่าหนึ่งต้องเติม -s ด้วย

เช่น           an apple (แอปเปิลหนึ่งผล) หรือ five apples (แอปเปิลห้าผล)

               a car (รถหนึ่งคัน) หรือ a hundred cars (รถหลายคัน)

               an issue (ประเด็นหนึ่ง) หรือ several issues (หลายประเด็น)

Uncountable Noun

Countable แปลว่านับได้ และ un แปลว่า ไม่ ดังนั้น uncountable noun จึงหมายถึงคำนามที่ไม่สามารถนับได้ หรือยากต่อการนับ เมื่อคำนามนั้นไม่สามารถนับได้ ทำให้ไม่สามารถใส่ตัวเลขหรือจำนวน หรือแม้แต่เติม -s เพื่อบ่งบอกว่ามีมากกว่าหนึ่งให้กับคำนามเหล่านั้นได้เลย

เช่น           water (น้ำ) เราไม่สามารถใช้ว่า a water หรือ two waters ได้

               Cheese (ชีส) , meat (เนื้อสัตว์), butter (เนย), coffee (กาแฟ), soda (โซดา)

เราจะสังเกตเห็นได้ว่า คำนามนับไม่ได้นั้นมักจะเป็นของเหลว หรืออะไรก็ตามที่ไม่มีหน่วยวัดที่แน่นอน ยกเว้นการใส่ภาชนะหรือหน่วยวัดให้กับคำนามนับไม่ได้จะทำให้คำนามเหล่านั้นนับได้

เช่น           a glass of water (น้ำหนึ่งแก้ว), two kilos of meat (เนื้อสัตว์สองกิโลกรัม), seven cups of coffee (กาแฟเจ็ดถ้วย) เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การใส่ภาชนะหรือหน่วยวัดให้กับคำนามนับไม่ได้นั้น คำนามนับไม่ได้ก็ไม่สามารถเติม -s ได้ แต่หน่วยวัดหรือภาชนะที่ใช้กับคำนามนับไม่ได้จะสามารถใส่จำนวนหรือเติม -s เพื่อบ่งบอกว่ามากกว่าหนึ่งได้แทนตามตัวอย่างที่ยกไว้

การเปลี่ยนนามเอกพจน์ให้เป็นนามหูพจน์

  1. ในคำปกติ ทั่วไป มักจะสามารถเติม s ต่อท้ายคำได้เลย เช่น car 🡪 cars
  2. ถ้าคำนั้นลงท้ายด้วย s , ss , sh , ch , x , z ให้เติม es เช่น bus 🡪 buses
  3. ลงท้ายด้วย o และข้างหน้าเป็นพยัญชนะ เติม es เช่น hero 🡪 heroes
  4. ลงท้ายด้วย o และข้างหน้าเป็นสระ เติม s เช่น video 🡪 videos
  5. ลงท้ายด้วย y และข้างหน้าเป็นพยัญชนะ เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น country 🡪 countries
  6. ลงท้ายด้วย y และข้างหน้าเป็นสระ เติม s เช่น day 🡪 days
  7. ลงท้ายด้วย f, fe เปลี่ยนเป็น v แล้วเติม es เช่น life 🡪 lives
  8. ลงท้ายด้วย is เปลี่ยน is เป็น es เช่น thesis 🡪 theses
  9. เปลี่ยนสระหรือเปลี่ยนรูปไปเลย เช่น man 🡪 men, tooth 🡪 teeth, person 🡪 people
  10. หน้าตาเหมือนกันทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ คือไม่เปลี่ยนรูปเลย เช่น fish, deer, sheep, series, species
  11. เป็นพหูพจน์เสมอ ไม่มีทางเป็นเอกพจน์ เช่น scissors, jeans, pants, pajamas, slippers



ดูเนื้อหาอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่